หมวด : รีวิวเกมมือถือ เมื่อ :
ใครที่เป็นแฟนเกมต่อสู้ แอดฯ ว่าส่วนหนึ่งน่าจะรู้จักกับตัวละครอย่าง Terry Bogard หรือ Mai Shiranui เป็นอย่างดี เพราะทั้งสองตัวละครเป็นตัวละครยอดฮิตใน The King of Fighter แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าสองคนนี้เริ่มมาจากซีรีส์เกมต่อสู้อีกเกมของค่าย นั่นก็คือ Fatal Fury
Fatal Fury หายไปโคตรนาน ถ้าเปิดวิกิดูมันหายไปตั้งแต่ปี 1999 รวมกว่า 26 ปีที่มันไม่ได้ออกภาคใหม่เลย ฉะนั้น Fatal Fury: City of The Wolves จึงทำหน้าที่ทั้ง “จดหมายรัก” และ “การกลับมา” ของซีรีส์เกมต่อสู้ 2D ที่ดีที่สุดเกมหนึ่งของโลกใบนี้
เพื่อไม่ให้เสียเวลาสำหรับคนอยากรู้ว่าเกมเป็นยังไง แอดฯ จะเริ่มรีวิวเลย ณ บัดนี้!
เนื้อเรื่อง
Fatal Fury: City of The Wolves จะติดตามตัวละครอย่าง Rock Howard ลูกชายแท้ ๆ ของ Geese Howard ผู้ทรงอิทธิพลแห่ง South Town ตัวร้ายที่ของซีรีส์ King of Fighter ที่ตายตกไปแล้ว โดยเขาได้แยกตัวจากพรรคพวกก่อนเริ่มภาคนี้ เพื่อตามหามรดกที่พ่อของเขาทิ้งเอาไว้ให้
และในขณะเดียวกัน บัตรเชิญ The King of Fighter ครั้งใหม่ก็มาถึงมือเขา โดยครั้งนี้รางวัลคือสิ่งที่เขาต้องการ “มรดกของ Geese Howard” ทำให้ Rock ต้องเข้าสู่วังวนการต่อสู้อีกครั้ง เพื่อสิ่งที่เขาต้องการ
เชื่อว่าใครที่ชอบเล่น KoF ก็น่าจะรู้กันอยู่แล้วว่าเนื้อหาของเกมต่อสู้ค่ายนี้ มันมักจะเปิดองค์รวมไว้ แล้วให้เราไปโฟกัสกับตัวละครต่าง ๆ ที่เล่าเนื้อหาในโหมด Arcade ซึ่งบางอย่างสำคัญ บางอย่างก็ไม่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่นเนื้อหาของ Rock Howard ที่จะเป็นเนื้อหาที่แท้จริงก็จะสำคัญกว่าใครเพื่อน ส่วนเนื้อหาของตัวละครอื่น ๆ มักจะไม่ใช่เนื้อหาที่เป็นทางการเท่าไหร่นัก ทำให้เนื้อเรื่องอาจไม่ใช่จุดสำคัญของ Fatal Fury: City of The Wolves ที่ควรพิจารณา
วิธีการเล่าเรื่องก็ค่อนข้างจืด คือเป็น Introduction ตัวละคร พร้อมกับมีสไลด์โชว์แบบการ์ตูนอเมริกา ตรงนี้พอเข้าใจได้ว่า เขาก็น่าจะรู้ล่ะว่าคนเล่นเกมต่อสู้ไม่น่าสนเนื้อเรื่องอะไรมาก (เอ๊ะ! แล้ว Mortal Kombat ล่ะ) ฉะนั้นเขาเลยไม่ได้เน้นย้ำอะไรขนาดนั้น ให้เราสนุกไปกับเกมเพลย์มากกว่า
โหมดการเล่น
ในเรื่องของโหมดการเล่น Fatal Fury: City of The Wolves เป็นเกมต่อสู้ในปีนี้ที่เห็นได้ชัดว่า “ใส่ใจ” มากกว่าเกมอื่นระดับหนึ่งในเรื่องคอนเทนต์ Single Player ถ้าใครเป็นแฟนเกมต่อสู้ช่วงนี้จะเห็นว่าหัวเรือใหญ่ของเกมต่อสู้สองสามเกม หันไปเล่น Multiplayer เป็นหลัก จนบางเกมแทบจะไม่มีโหมดเล่นคนเดียวเลย
แต่ในเกมนี้เขาให้โหมดที่เรียกว่า Episode of South Town มาด้วย คร่าว ๆ ก็เป็นโหมดแบบ RPG ที่เราเลือกทำภารกิจได้ และต้องเอาสิ่งของมาพัฒนาตัวละครให้เก่งยิ่งขึ้นตามระดับ Mission ในเกม แม้มันจะไม่ได้ล้ำมาก และไม่มีคัตซีนสวย ๆ งาม ๆ ให้ดู แต่ถือเป็นก้าวที่ดีสำหรับเกมต่อสู้ ตอบโจทย์คนชอบเล่นเกม Single Player ได้พอสมควร เพราะมันมีอะไรให้แตะต้องบ้างนอกจากการกดแค่ Arcade
โหมดออนไลน์แน่นอนว่ายังเป็นโหมดที่เขา “เน้นย้ำ” ตามสไตล์ยุคนี้เหมือนเดิม ในเกมนี้มีทั้งแบบธรรมดา และ Rank Match ที่ชวนให้หัวร้อน ระบบการเล่นก็จะคล้าย ๆ เกมอื่น คือเข้าไปหาห้อง จับคู่ แล้วก็ซัดหน้ากัน ตัวละครเกมนี้มีถึง 17 ตัวและมีวิธีการเล่นที่แตกต่างกัน ทำให้เราต้องศึกษา moveset ต่าง ๆ ทั้งตัวที่เราเล่นเองให้เชี่ยวชาญ และตัวที่คนอื่นเล่นเพื่อให้เดาท่าทางก่อนได้ ทั้งหมดนี้ใครเซียนเกมต่อสู้น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก และถึงแม้จะไม่เซียน เขาก็มี Tutorial สอนระดับนึง ไม่ได้ให้ลงไปเป็นหมูสนามเหมือนหลาย ๆ เกม
เกมเพลย์
การต่อสู้ของ Fatal Fury: City of The Wolves เท่าที่เราเข้าใจคือ มันแบ่งเป็น offensive กับ defensive แบบต่าง ๆ ถ้าใครเล่นเกมต่อสู้มาบ่อย ๆ จะเข้าใจว่า เกมจะให้ Asset เรามาสองด้าน คือวิธีการโจมตี และวิธีการป้องกัน ทั้งคู่จะมีหลายแบบ แต่ละแบบจะชนะแพ้ทางกันปกติ ถ้าอีกฝ่ายเข้ามาแบบนี้ เราต้องกันแบบนี้ หรือถ้าอีกฝ่ายกันแบบนี้ เราจะเข้ายังไงให้โดน เป็นต้น
ตัวละครแต่ละตัวจะมี Asset ที่แตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน เมื่อเทียบกับเกมต่อสู้อื่น ๆ ในตลาด เกมนี้จะมีการเข้าทำที่ช้ากว่ามาก ในช่วงต้นจะค่อนข้างบังคับให้มีการ “หยั่งเชิง” กันพอสมควร ถ้าตัวไหนมีท่าระยะไกล ก็อาจจะกดดันให้อีกฝ่ายใช้ Asset ที่มีเพื่อเข้ามาทำจังหวะ แต่โดยรวมการเข้าทำนั้นต้องอาศัยความเข้าใจในตัวละครที่มากพอสมควร
เช่น ถ้าคุณเล่น Rock Haward ที่มี Asset ทุกอย่างแต่อาจจะไม่โดดเด่น คุณต้องดูว่าตัวละครอีกฝ่ายเป็นใคร ยกตัวอย่างเช่น Gato ตัวละครที่เก่งมากในระยะประชิด แต่ไม่ค่อยมี Asset ในด้านระยะ คุณก็อาจจะกดดันอีกฝ่ายด้วยการวางระยะปลอดภัยในการเล่น การหัดดู Moveset จะช่วยคุณได้มากในเกมนี้ เพราะอย่างที่บอก ตัวละครแต่ละตัวมันแตกต่างกันมากจริง ๆ จนมั่วไม่ได้
สิ่งที่เราชอบเลยจากเกมนี้คือจังหวะในการเล่นมันอยู่กลาง ๆ ไม่ช้าแช่แบบ Mortal Kombat และไม่เร็วขนาดที่ต้องคิดวิต่อวิแบบ Tekken คือมันยังคงมีลูกล่อลูกชนที่รวดเร็ว แต่ช่วงพักหายใจให้ไม่เกิดคอมโบยาว ทำให้เกมนี้เล่นได้ดี และยังพลาดได้บ่อยเมื่อเทียบกับเกมอื่น ๆ ในตลาด
การนำเสนอ
สิ่งที่เราชอบเป็นพิเศษของ Fatal Fury: City of The Wolves คือ Vibe ในเกมที่เด่นชัดมาก ด้วยความที่ South Town มันมีเอกลักษณ์ที่เกี่ยวกับความเป็นอเมริกัน-ฮู้ด อยู่แล้ว ทำให้เพลงประกอบในเกมนี้ใช้เครื่องเป่ากันสนุกเลย โดยเฉพาะเพลงหน้าเมนูที่มี Vibe ความเป็นแจ๊สที่แข็งแรงมาก ตรงนี้อาจจะเพราะคนญี่ปุ่นอายุมาก ๆ ส่วนใหญ่จะชอบฟังแจ๊สกันอยู่ละ ทำให้เกมต่อสู้เกมนี้มี Vibe ของการปลุกเร้าที่ “เป็นศิลป์” มากกว่าการเอาโต๊ะมาฟาดกันท่ามกลางเพลงร็อคมันส์ ๆ เกมนี้มันให้ฟีลแบบ เราต่อยกันในบาร์ซิกก้าที่เสิร์ฟบรันดีมากกว่า
ในเรื่องของ Mood and Tone ก็คุมได้ดี แม้จะดูไม่ลงทุนในด้านของเนื้อหาหรืออนิเมชันมาก แต่การวางมู๊ดให้เป็นคล้ายอเมริกันคอมิกส์ก็ไม่แย่เลย ดูไม่จูนิเบียว และไม่โอตาคุแต่ประการใด ดูเป็นสไตล์ที่มีรสนิยมมากกว่า ซึ่งเราชอบตรงนี้มากเพราะมันทำให้เกมดู Stylish แตกต่างจากเกมต่อสู้ทุกเกมในช่วงนี้ที่เล่นมา
สรุปสุดท้าย เกมดีต้องเล่น
โดยรวม Fatal Fury: City of The Wolves คือการกลับมาที่สวยและสมศักดิ์ศรีมาก ใครจะคิดว่าซีรีส์นี้จะกลับมาได้อย่างมีเอกลักษณ์ขนาดนี้ แม้จะมีบางอย่างที่ใส่ยังไม่เต็มพลัง แต่มันก็เป็น Proof of Concept ว่าเราจะขายเกมต่อสู้ยังไงในปัจจุบัน ใครที่เป็นแฟน SNK บอกเลยว่า อย่าพลาดเด็ดขาด เกมดีต้องเล่น!
7/10