เกมมือถือในปัจจุบันนั้น นอกจากเน้นเรื่อง
Character Design แล้ว สิ่งที่ผู้พัฒนาพยายามให้ความสำคัญรองลงมาคือ
เนื้อเรื่องและเสียงภายในเกม สังเกตได้จากการที่เกมมือถือต่าง ๆ มีการแปลเนื้อเรื่องเป็นภาษาไทยได้ดีมากกว่าสมัยก่อน
บางเกมลงทุนพากย์เสียงเป็นภาษาไทยในเกมให้ด้วย ทว่าพฤติกรรมการเล่นเกมของเกมเมอร์ในปัจจุบันอาจทำให้สิ่งที่ผู้พัฒนาทำมาเสียเปล่าก็เป็นได้...วันนี้เราจึงจะมาคุยกันในเรื่องของ
Story&Sound ยังจำเป็นสำหรับเกมมือถือหรือไม่กันครับ
หากพูดถึงเกมมือถือแล้ว สิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลยคือ
เนื้อเรื่อง (Story) เพราะเนื้อเรื่องถือเป็น
สิ่งพื้นฐานที่จะนำไปสู่เรื่องราวทุก ๆ อย่างภายในเกม ไม่ว่าจะเป็นการปูทางไปสู่เนื้อเรื่องหลัก เนื้อเรื่องของแต่ละตัวละคร การแทรกบทพูดเพื่อแนะนำระบบดันเจี้ยนประจำวัน หรือระบบอื่น ๆ ภายในเกมอีกมากมาย ถ้าทำบทออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ก็จะทำให้เกมน่าเบื่อลงไปเยอะเลย ดังนั้นถ้าหากผู้พัฒนาสามารถ
ทำเนื้อเรื่องภายในเกมออกมาได้ดี ก็จะทำให้เราสามารถเล่นเกมได้สนุกและมีอารมณ์ร่วมมากกว่าเกมที่ไม่มีเนื้อเรื่องใด ๆ หรือเนื้อเรื่องไม่ดีเสียง (Sound) ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงเพลงประกอบฉาก เสียงตัวละคร เสียงเอฟเฟ็กต์ เสียงมอนสเตอร์ และเสียงต่าง ๆ อีกมากมายที่จะมารวมกันอยู่ในเกม ๆ เดียว โดยเสียงภายในเกม
จะเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความรู้สึกร่วมให้กับเราในการเล่นเกม เช่นฉากตัวละครตายที่แต่เดิมแค่อ่านเนื้อเรื่องกับดูภาพอย่างเดียวก็น้ำตาจะไหลแล้ว เจอเพลงเศร้า ๆ เสียงตัวละครสะอื้นนิดหน่อย เอฟเฟ็กต์น้ำตาหยดนิด ๆ เข้ามาช่วยเสริมอารมณ์ จะช่วยดึงดราม่าของเนื้อเรื่องได้มาก จนถึงขนาดทำให้เราร้องไห้ออกมาได้เลยนะ
ดังนั้นเนื้อเรื่องและเสียงในเกมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ลองคิดกันเล่น ๆ นะครับ เกมมือถือเกมหนึ่งเป็นแนว Strategy RPG
ไม่มีเนื้อเรื่องเกริ่นนำใด ๆ เลย มาถึงก็เข้าฉากต่อสู้ที่มีแต่เสียงฟันดาบ ยิงปืน ระเบิด และเอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ แต่
ไม่มีเสียงเพลงประกอบใด ๆ พอต่อสู้จบแล้ว เกมก็จะบังคับกลับไปหน้า Lobby กดกาชา แล้วลงดันเจี้ยนต่อทันทีแบบ
ไม่มีบทพูดตัวละครใด ๆ มาช่วยแนะนำการเล่นให้เลย ถึงมันจะดูไม่วุ่นวายก็เถอะ แต่สิ่งที่เราจะรู้สึกจากเกมนี้ได้เลยทันทีคือ
"เกมนี้มันไม่มีอะไรเลยนี่นา"ทว่าหากเรามาลองนั่งคิดกันดี ๆ แล้ว
เกมเมอร์ส่วนใหญ่ รวมถึงตัวผมเองด้วย เวลาอยู่นอกบ้าน มักจะเล่นเกมมือถือโดยการปิดเสียงอยู่เสมอ เหตุผลแรกคือเพื่อ
ประหยัดแบตเตอรี่ให้อยู่ได้นาน เพราะเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปิดเสียงเพลงเล่นเกมจะทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าเล่นแบบปิดเสียง และเราคงอยากเล่นเกมในระหว่างที่อยู่นอกบ้านจนกว่าจะกลับถึงบ้านอย่างแน่นอน
ถึงแม้ปัจจุบันจะมีสิ่งที่เรียกว่า Power Bank อยู่ก็ตาม แต่ทว่า...บางทีก็ไม่พอใช้อยู่ดี ฮ่าๆ
เหตุผลที่สองคือเวลาเล่นเกมในสถานที่สาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า เรือ หรือรถเมล์
ถ้าไม่ได้ใส่หูฟังก็ไม่ควรเปิดเสียงเล่นเกม ซึ่งเป็น
มารยาทพื้นฐานที่เกมเมอร์พึงมีอยู่แล้ว หรือบางคนใส่หูฟังก็จริง แต่ก็เลือกที่จะเปิดเพลงดังต่าง ๆ ฟังมากกว่าฟังเสียงในเกม กรณีเลวร้ายที่สุดคือถ้าเราใส่หูฟังแล้วเปิดเสียงเล่นเกมไปด้วย อาจทำให้เรานั่งรถไฟ เรือ หรือรถเมล์เลยป้ายได้โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่ได้ยินเสียงประกาศว่าถึงที่หมายถึงแล้ว ด้วยเหตุผลนานับประการเหล่านี้
จึงทำให้เกมเมอร์ส่วนใหญ่เลือกที่จะปิดเสียงไปเลยดีกว่า
พอพฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนเป็นความเคยชิน สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราจะปิดเสียงเล่นเกมเสมอ แม้กระทั่งการเล่นเกมอยู่ที่บ้านหรือห้องของตัวเองที่มีอิสระอย่างเต็มที่ก็ตาม เหตุผลง่าย ๆ คือ
ยังไงเราก็ต้องปิดเสียงตอนออกไปข้างนอกอยู่ดี ซ้ำร้ายถ้าลืมปิดเสียงแล้วไปดันเผลอไปเปิดเกมจนเกิดเสียงเกมดังสนั่นในที่ทำงานหรือรถไฟฟ้า เราคงอายจนไม่กล้ามองหน้าใครเป็นแน่แท้
ดังนั้นเพื่อตัดปัญหา เราจึงเลือกที่ปิดเสียงแบบถาวรไปเลยดีกว่าในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น
จะมีเกมเมอร์อยู่หลายกลุ่มที่มีพฤติกรรมแตกต่างกันออกไป กลุ่มแรกคืออ่านเนื้อเรื่องทุกระเบียบนิ้ว ก่อนจะกดผ่านประโยคใดก็ตามต้องตีความให้ออกเสียก่อน เมื่อเล่นเนื้อเรื่องจบแล้ว ถามคำถามอะไรก็ตามที่เป็นเนื้อเรื่องกับเกมเมอร์กลุ่มนี้ เขาจะตอบได้เกือบหมด แถมอธิบายออกมาได้เป็นฉาก ๆ อย่างน่าเหลือเชื่อ
ดังนั้นเนื้อเรื่องสำหรับเกมเมอร์กลุ่มนี้คือสิ่งจำเป็นอย่างมากเกมเมอร์กลุ่มที่สองคือเกมเมอร์หัวใจ Skip กล่าวคือเนื้อเรื่องจะทำมาดีแค่ไหนก็ตาม เกมเมอร์กลุ่มนี้จะไม่สนและกด Skip ทุกกรณีแม้จะเป็นภาษาไทยก็ตาม ดังนั้น
เนื้อเรื่องสำหรับเกมเมอร์กลุ่มนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น มิหนำซ้ำยังแอบรำคาญนิด ๆ ด้วยว่า เนื้อเรื่องจะเยอะไปไหน ขี้เกียจมานั่งกด Skip นะ นอกจากจะเปลืองแบตเตอรี่โดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังเปลืองอินเทอร์เน็ตต้องมา
นั่งโหลดเนื้อเรื่องอีก
เกมเมอร์กลุ่มที่สามคือเกมเมอร์ที่อยากอ่านเนื้อเรื่อง
แต่ตัวอักษรมันเล็กเกินไปจนอ่านนาน ๆ ไม่ไหว บางเกมตัวอักษรเล็กมากจนเหมือนอ่านตำราเรียนหนา ๆ เล่มหนึ่งอยู่เลย ประกอบกับเกมเมอร์บางคนก็มีปัญหาด้านสายตาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งทำให้การอ่านเนื้อเรื่องยากลำบากเข้าไปอีก เกมเมอร์บางคนจึงเลือกตัดปัญหาโดยการ
ไม่อ่านเนื้อเรื่องเสียเลย แล้วเลือกไปสนุกกับระบบอื่น ๆ ภายในเกมที่ไม่ต้องใช้สายตาเยอะดีกว่า
คำถามคือ
เนื้อเรื่องกับเสียงภายในเกมยังจำเป็นสำหรับเกมมือถือหรือไม่? คำตอบคือยังจำเป็นอยู่ครับ จริงอยู่ที่เวลาเล่นเกมมือถือปกติเราจะไม่ค่อยอ่านเนื้อเรื่องกับปิดเสียงเล่นกัน
แต่ก็ไม่ใช่เกมเมอร์ทุกคนที่เป็นแบบนั้น เกมเมอร์บางคนอาจจะชอบเปิดเสียงและอ่านเนื้อเรื่องก็ได้ ที่สำคัญคือหากเราอยากจะทำคอนเทนต์เกี่ยวกับเกมมือถือซักเกมหนึ่ง เนื้อเรื่องและเสียงก็จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นขึ้นมาโดยทันที
จำเป็นอย่างไร?เรามาดูในส่วนของเนื้อเรื่องกันก่อน
เนื้อเรื่องของบางเกมนั้นมีเพียงภาษาต่างประเทศเท่านั้น เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น เป็นต้น แต่ไม่มีการแปลเป็นภาษาไทยแต่อย่างใด ทำให้เกมเมอร์ค่อนข้างมีปัญหากับการแปลเนื้อเรื่องมาก
จนท้ายที่สุดก็รู้สึกว่าการอ่านเนื้อเรื่องเป็นเรื่องยากและเริ่มกด Skip ไปในที่สุด แต่ถ้าเรามีสกิลการแปลและเล่าเรื่องที่ดี เราจะสามารถสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับ
การแปลหรือสรุปเนื้อเรื่องมาให้เกมเมอร์คนอื่นได้!! ดังนั้นต่อให้เกมเมอร์คนไหนกด Skip เนื้อเรื่องไปในตอนที่เขาเล่น
ก็ยังสามารถกลับมาเรียนรู้เนื้อเรื่องจากคอนเทนต์ที่เราสร้างขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ตามต้องการในส่วนของเสียงนั้นก็ควรจะต้องมีอยู่แล้ว เพราะหากเราเลือกที่จะทำคอนเทนต์ที่เป็นคลิปของเกมมือถือซักเกมหนึ่ง
การที่ไม่มีเสียงอะไรเลยมันก็คงเป็นคอนเทนต์ที่น่าเบื่อไม่ใช่น้อยเลย แถมยังทำให้อารมณ์ร่วมของคนดูหายไปอีกต่างหาก ดังนั้นการเปิดเสียงทุกอย่างในการทำคอนเทนต์เกมมือถือจึงเป็น
สิ่งจำเป็นมากที่สำคัญคือในสมัยนี้เรามีสิ่งที่เรียกว่า
Emulator ให้เลือกเล่นเกมมือถือบนคอมพิวเตอร์กันได้แล้ว ดังนั้นเราจึงสามารถ
เปิดเสียงเล่นเกมได้อย่างไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดไวแต่ประการใด อีกทั้งเรายังสามารถ
อ่านเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะตัวอักษรในเกมที่ปรากฎขึ้นมาบนจอคอมพิวเตอร์นั้นจะตัวใหญ่มากกว่าบนจอมือถือมาก
จึงตัดปัญหาเรื่องตัวอักษรเล็กเกินไปจนมองไม่เห็นได้เลยดังนั้นเราจึงสามารถสรุปได้ว่า
เนื้อเรื่องและเสียงภายในเกมยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอยู่อย่างแน่นอน เพราะคงไม่มีเกมไหนที่เปิดเกมมาแล้วมีแค่ภาพและระบบการเล่น แต่ไม่มีเสียงและเนื้อเรื่องอยู่แล้ว!!
ขึ้นอยู่กับเกมเมอร์อย่างพวกเราต่างหาก ที่จะเป็นผู้เลือกว่าจะให้ความสำคัญกับการ
อ่านเนื้อเรื่องในเกมหรือเปิดเสียงภายในเกมที่ผู้พัฒนาได้สร้างสรรค์ออกมาให้หรือไม่ ขอทิ้งท้ายคำถามเอาไว้สำหรับผู้อ่านทุกท่านนะครับ
โดยปกติแล้วผู้อ่านชอบเปิดเสียงเล่นเกมหรืออ่านเนื้อเรื่องในเกมกันไหมครับ? มาแสดงความคิดเห็นกันได้นะครับทางช่องคอมเมนต์ ผมรออ่านคอมเมนต์ของทุกคนอยู่นะครับ สำหรับวันนี้ขอตัวลาไปก่อนแล้ว สวัสดีครับ
อ่านชวนคุยเกมเมอร์ Episode ก่อนหน้าได้ที่นี่เลยจ้า